กำแพงชั้นที่สอง...เขียนเป็นอย่างไร
การเขียนเป็นสิ่งที่ไม่ยากการเป็นเรื่องง่าย แต่สิ่งที่ยากนั่นคือการเขียนให้คนอ่านรู้เรื่องตรงกับที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร ความไม่กระจ่างของข้อเขียนทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของผู้เขียน และทำให้เกิดการตีความผิดพลาด ในทางตรงกันข้าม หากเราอ่านงานเขียนใดแล้วรู้สึกเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งตรงประเด็น ได้อารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นการที่เราจะสื่อสารข้อเขียนของเราไปสู่ผู้อ่านได้นั้น เราต้องสามารถตอบตัวเองได้ว่า “เราเป็นหรือไม่ ?”
“เขียนแล้วคนอ่านหรือไม่?”
ไม่ว่าเราจะตอบตัวเองว่าเขียนเป็นหรือไม่เป็นคงไม่ได้เป็นข้อสรุปว่าเราควรเขียนหรือปฎิเสธไม่เขียนอีกเลยตลอดชีวิตแต่เป็นการตอบเพื่อให้เรารู้จักตนเองก่อนที่จะเริ่มต้นเดินก้าวต่อไปในโลกของการเขียนให้เป็น หากทุกคนเรียนรู้ “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ของการเขียน
เป็น “ศาสตร์”เพราะ เป็นความรู้ที่สามารถฝึกฝนได้
เป็น “ศิลป์” เพราะ เป็นเทคนิควิธีการของผู้เขียนแต่ละคน ดั้งนั้นหากเราต้องการพัฒนาทักษะการเขียนให้เป็นผู้เขียนเป็นเขียนเก่ง และเขียนบทความได้ดีนั้น เราควรเริ่มต้นแต่การฝึกฝนทักษะการเขียน ข้อเสนอแนะนำที่อยากฝากให้ผู้อ่านปฎิบัติทุกวันจนเป็นนิสัยได้แก่
1.เขียนให้มาก วิธีการที่ง่ายที่สุดที่ขอแนะนำ ให้เราจดบันทึกประจำวันแบบมีหัวข้อ เป็นการดึงบางเรื่องที่พบ บางประสบการณ์ที่ได้เผชิญในวันนั้น อันเป็นเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ ให้บทเรียน ข้อคิดใหม่ ให้แก่ชีวิต โดยนำมากล่าวถึงในลักษณะของการเล่าเหตุการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้ นอกจากการจดบันทึกแล้ว อาจเป็นการเขียนเพื่อเล่าให้เพื่อนฟังอาจโดยการสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่นิยมในเวลานี้
2.อ่านให้มาก เพื่อประโยชน์ 2 ประการอันได้แก่
เพื่อเรียนรู้วิธีเขียน เราจะเขียนได้ดี หาเราสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ระหว่างงานเขียนที่ดี กับงานเขียนธรรมดา และงานเขียนที่ใช้ไม่ได้
เพื่อสะสมความรู้ เราจะเขียนบทความได้ดี สิ่งสำคัญไม่เพียงแต่รู้วิธีเขียน แต่เราต้องเป็น “ผู้รู้” ในเรื่องที่จะเขียนด้วย
เซอร์ฟรานซิส เบคอน นักเขียนและนัก
ปรัญญาชาวอังกฤษ กล่าวไว้ในความเรียงเรื่อง “Of Studies” การอ่านทำให้คนได้รับเติมเต็มบริบูรณ์ การอภิปรายถกเถียงทำให้คนมีความพร้อม และการเขียนทำให้คนทำให้เป็นคนที่คมชัด
กำแพงชั้นที่สาม...มีคนอ่านหรือไม่?
กำแพงชั้นที่สามที่เราต้องทะลวงไปให้ได้ นั่นคือการทำให้กลุ่มเป้าหมายได้อ่านข้อเขียนของเรา ดังนั้นข้อเขียนที่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
ผู้เขียนที่ดีจึงต้องเป็นผู้ที่สามารถสื่อสารได้ตรงตามความมุ่งหมายมีความชัดเจนในเนื้อหา สามารถทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจตรงกันกับผู้ส่งสาร ข้อสำคัญที่เราจะทำลายกำแพงนี้ได้ด้วยการตั้งคำถามกับตนเองก่อนว่า “เราเขียนหนังสือให้ใครอ่าน” และสิ่งที่เราต้องทำคือ
รู้จักผู้อ่าน ผู้เขียนที่ไม่ใช่คนที่อยากเขียนเรื่องอะไรก็เขียน แต่ต้องคิดมากกว่านั้น กล่าวคือ เขาจะมีคำถามว่าจะเขียนนั้นเพื่ออะไร เขียนไปทำไมและที่สำคัญ..เขียนเพื่อใคร
เขียนเพื่อผู้อ่าน ในฐานะของผู้เขียนที่ต้องการสื่อสารความคิดของตน เราจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงผู้อ่านด้วย โดยตระหนักว่า หากต้องการสื่อสารแนวคิดนั้นให้กับกลุ้มเป้าหมาย ต้อมีวิธีนำเสนอให้เรียบง่ายพอที่เขาจะรับได้ และรวดเร็วพอจะเข้าใจ ไม่ใช่ซับซ้อนหรือยากต่อการเข้าใจ
มั่นใจว่ามีคนอ่าน หากเรามั่นใจว่าข้อเขียนของเราได้ลงตีพิมพ์แน่ ๆ ในสื่อใดสื่อหนึ่ง เราย่อมมั่นใจได้ในระดับหน่างว่าจะมีผู้อ่านจำหนึ่งอย่างแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่เราต้องมีนั่นคือความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ นักเขียนที่ดีต้องมีความมุมานะ ด้วยเหตุนี้เราจึงยึดคติที่ว่า
คนที่พ่ายแพ้ล้มเหลวมาแล้ว 99 ครั้ง ครั้งที่ 100 ชัยชนะอาจเป็นของเขาก็ได้