ยิ่งตรองตรึกก็ยิ่งนึกระแวงแคลง ไม่จะแจ้งนี่เราฝันฤาฉันใด
นายอาบูให้วิตกหัวอกเต้น ตรองไม่เห็นแน่ลงที่ตรงไหน
ฤาเราคือกาหลิบธิปไตย เปนไฉนจะรู้แน่นะอกกู
ครั้นตรองตรึกนึกดูก็รู้แน่ เออที่แท้วานนี้พูดกับเพื่อนสู
ช่างเก็บมาฝันซ้ำพร่ำพรู แต่ก่อนอยู่ดี ๆ ไยมิเปน
เมื่อดำริห์ตริตรึกนึกตระหนัก แจ้งประจักษ์ว่านิมิตรให้คิดเห็น
จึงหลับตานอนนิ่งอิงเอน เหมือนหนึ่งเช่นจะระงับหลับกายา ฯฯ
๏ ฝ่ายนางพนักงานสิ้นทั้งนั้น เห็นหะซันเกิดวิมุติกังขา
จึงค่อยเยื้องยุรยาตรคลาศคลา แล้วกล่าวรศพจนาอัญเชิญพลัน
ว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเดช เปนปิ่นเกษกรุงไกรมไหสวรรย์
เวลานี้รุ่งแจ้งแสงหิรัญ พระทรงธรรม์นิทราไปว่าไร
เชิญเสด็จอ่าองค์สรงพระภักตร์ บริรักษ์ราชกิจตามนิไสย
ถ้าพระหน่วงนิทราจะช้าไป อโณไทยพวยพุ่งขึ้นรุ่งราง ฯฯ
๏ ผ่ายอาบูได้สดับทูลเสนอ กระดากเก้อในจิตรคิดอางขนาง
ให้สงไสยนึกระแวงแคลงคลาง ไม่วายวางความฉงนสนเทห์ใจ
เราตื่นอยู่ฤาว่าเพ้อมะเมอฝัน อัศจรรย์เปนมาน่าสงไสย
นึกแล้วกลับไสยานิทราไป มิได้ออกเอื้อนโอษฐพจนา ฯฯ
๏ ฝ่ายนางพนักงานสิ้นทั้งผอง คอยสนองนอบน้อมอยู่พร้อมหน้า
เห็นอาบูไม่ตื่นฟื้นกายา ค่อยลีลาเข้าไปเคียงริมเตียงทอง
แล้วชอ้อนอ่อนองค์ลงเคียงอาศน์ อภิวาทบาทมูลมูลสนอง
พระองค์ไม่เคยขาดประโยชน์ปอง ในธรรมคลองกุศลผลบุญ
เคยไหว้ไทเทวาพระอาทิตย์ สำรวมจิตรตัดวิตกไม่หมกมุ่น
นมาศดวงอุไทยไขอรุณ เปนการสุนทรสวัสดิกำจัดไภย ฯฯ
๏ ครานั้นอาบูผู้พานิช ยังแคลงจิตรมิได้สิ้นความสงไสย
จะว่าฝันฤาเราก็เข้าใจ การสิ่งใดก็รู้อยู่ทุกอัน
ครั้นลืมเนตรก็สังเกตแน่ตระหนัก แจ้งประจักษ์เห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์
ถ้าหลับใหลแล้วคงไม่รู้สำคัญ แม้นความฝันคงไม่สึกสำนึกกาย
ตริพลางทางดำรงทรงตัวนั่ง บนบัลลังก์เลิศเชิดฉาย
ภักตร์ผ่องเพียงจันทร์พรรณราย แสนสบายยินดีด้วยปรีดา ฯฯ
๏ บัดนั้นสาวสุรางค์นางกำนัล พร้อมกันน้อมประนมก้มเกษา
ศิโรราบกราบเบื้องมุลิกา หัตถ์ซ้ายขวาจับดนตรีดีดสีพลัน
ประโคมขานบรรสานสุรเสียง ปานสำเนียงบรรเลงเพลงสวรรค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น