วรรณคดีตอนที่ 3

ยิ่งตรองตรึกก็ยิ่งนึกระแวงแคลง                                      ไม่จะแจ้งนี่เราฝันฤาฉันใด
                นายอาบูให้วิตกหัวอกเต้น                                 ตรองไม่เห็นแน่ลงที่ตรงไหน
                ฤาเราคือกาหลิบธิปไตย                                                      เปนไฉนจะรู้แน่นะอกกู
                ครั้นตรองตรึกนึกดูก็รู้แน่                                                  เออที่แท้วานนี้พูดกับเพื่อนสู
                ช่างเก็บมาฝันซ้ำพร่ำพรู                                                    แต่ก่อนอยู่ดี ๆ ไยมิเปน
                เมื่อดำริห์ตริตรึกนึกตระหนัก                                           แจ้งประจักษ์ว่านิมิตรให้คิดเห็น
          จึงหลับตานอนนิ่งอิงเอน                                                  เหมือนหนึ่งเช่นจะระงับหลับกายา  ฯฯ
                      ฝ่ายนางพนักงานสิ้นทั้งนั้น                                   เห็นหะซันเกิดวิมุติกังขา
          จึงค่อยเยื้องยุรยาตรคลาศคลา                                            แล้วกล่าวรศพจนาอัญเชิญพลัน
                ว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเดช                                                เปนปิ่นเกษกรุงไกรมไหสวรรย์
                เวลานี้รุ่งแจ้งแสงหิรัญ                                                       พระทรงธรรม์นิทราไปว่าไร
                เชิญเสด็จอ่าองค์สรงพระภักตร์                                        บริรักษ์ราชกิจตามนิไสย
                ถ้าพระหน่วงนิทราจะช้าไป                                              อโณไทยพวยพุ่งขึ้นรุ่งราง  ฯฯ
                      ผ่ายอาบูได้สดับทูลเสนอ                                       กระดากเก้อในจิตรคิดอางขนาง
                ให้สงไสยนึกระแวงแคลงคลาง                                       ไม่วายวางความฉงนสนเทห์ใจ
                เราตื่นอยู่ฤาว่าเพ้อมะเมอฝัน                                            อัศจรรย์เปนมาน่าสงไสย
                นึกแล้วกลับไสยานิทราไป                                                มิได้ออกเอื้อนโอษฐพจนา  ฯฯ
                      ฝ่ายนางพนักงานสิ้นทั้งผอง                                  คอยสนองนอบน้อมอยู่พร้อมหน้า
                เห็นอาบูไม่ตื่นฟื้นกายา                                                     ค่อยลีลาเข้าไปเคียงริมเตียงทอง
                แล้วชอ้อนอ่อนองค์ลงเคียงอาศน์                                    อภิวาทบาทมูลมูลสนอง
                พระองค์ไม่เคยขาดประโยชน์ปอง                                  ในธรรมคลองกุศลผลบุญ
          เคยไหว้ไทเทวาพระอาทิตย์                                               สำรวมจิตรตัดวิตกไม่หมกมุ่น
          นมาศดวงอุไทยไขอรุณ                                เปนการสุนทรสวัสดิกำจัดไภย  ฯฯ
                      ครานั้นอาบูผู้พานิช                                                 ยังแคลงจิตรมิได้สิ้นความสงไสย
                จะว่าฝันฤาเราก็เข้าใจ                                                         การสิ่งใดก็รู้อยู่ทุกอัน
                ครั้นลืมเนตรก็สังเกตแน่ตระหนัก                                   แจ้งประจักษ์เห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์
                ถ้าหลับใหลแล้วคงไม่รู้สำคัญ                                           แม้นความฝันคงไม่สึกสำนึกกาย
                ตริพลางทางดำรงทรงตัวนั่ง                                              บนบัลลังก์เลิศเชิดฉาย
                ภักตร์ผ่องเพียงจันทร์พรรณราย                                       แสนสบายยินดีด้วยปรีดา  ฯฯ
                      บัดนั้นสาวสุรางค์นางกำนัล                                   พร้อมกันน้อมประนมก้มเกษา
          ศิโรราบกราบเบื้องมุลิกา                                                    หัตถ์ซ้ายขวาจับดนตรีดีดสีพลัน
                ประโคมขานบรรสานสุรเสียง                                          ปานสำเนียงบรรเลงเพลงสวรรค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น